“พุทธพจน์” ดังกล่าวมีนัยที่สำคัญ ดังนี้
ไม่ว่ามนุษย์หรือดิรัจฉาน ที่ถือกำเนิดมามีชีวิตอยู่ในโลกนี้
ล้วนเป็นการรับผลของกรรม ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่วที่แต่ละชีวิตเคยทำไว้ในอดีตชาติ
คือเป็นทายาทติดตามรับผลแห่งกรรมที่ตนทำไว้ ย่อมอุบัติ
คือเกิดด้วยอำนาจกรรมที่ทำไว้เอง
ทุกชีวิตเมื่อละโลกนี้ไปแล้ว ยังต้องมีชีวิตหลังความตายต่อไป ตราบที่ยังไม่หมดกิเลส
แต่ละชีวิตจะถือกำเนิดใหม่ เป็นอะไร
มีเผ่าพันธุ์ มีคุณสมบัติอย่างไรขึ้นอยู่กับกรรมดีหรือชั่วที่ตนทำไว้เองในชาตินี้
คือมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
2. สถานที่สถิตของชีวิตหลังความตาย เป็นเรื่องที่แน่นอนว่าเมื่อใดมีการถือกำเนิดของชีวิต ก็จำเป็นจะต้องมีสถานที่รองรับชีวิตนั้น
จากประสบการณ์ในชีวิตนี้ก็พอจะจินตนาการออกว่า เราได้ถือกำเนิดอย่างใดสำหรับชีวิตอยู่อาศัย
แต่ถ้าเราได้ถือกำเนิดในครอบครัวที่ลำบากยากจนข้นแค้น
มีพ่อขี้เมาหยำเปตลอดกาล เราจะมีสถานที่อย่างใดสำหรับอยู่อาศัย หรือถ้าเราได้ถือกำเนิดเป็นดิรัจฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น สัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์ป่า สัตว์เลี้ยง เราก็ย่อมจะมีสถานอาศัยที่เหมาะกับสภาพชีวิตนั้นๆ โดยสรุปก็คือ โลกคือสถานที่สำหรับรองรับให้เราได้อาศัยอยู่ในโลกหน้า อาจจะมีสภาพดีกว่าหรือย่ำแย่กว่าสภาพที่เราอยู่ในขณะนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ทั้งสิ้น
มีพ่อขี้เมาหยำเปตลอดกาล เราจะมีสถานที่อย่างใดสำหรับอยู่อาศัย หรือถ้าเราได้ถือกำเนิดเป็นดิรัจฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น สัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์ป่า สัตว์เลี้ยง เราก็ย่อมจะมีสถานอาศัยที่เหมาะกับสภาพชีวิตนั้นๆ โดยสรุปก็คือ โลกคือสถานที่สำหรับรองรับให้เราได้อาศัยอยู่ในโลกหน้า อาจจะมีสภาพดีกว่าหรือย่ำแย่กว่าสภาพที่เราอยู่ในขณะนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ทั้งสิ้น
สาเหตุที่เราต้องศึกษาพุทธธรรม
เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่อง ”โลกหน้า”
ก็เพราะความรู้เรื่องนี้จะช่วยให้เราเกิดปัญญา และสามารถเตรียมความพร้อมอย่างถูกต้อง
เพื่อการบรรลุสันติสุขอันไพบูลย์ อันเป็นยอดปรารถนาของมวลมนุษย์ชาติ
ภาพ
5.16
ภาพ 5.17
กรรมของดิรัจฉาน ชีวิตที่กระเสือกกระสน
________________________
ภาพ 5.16 ที่มา : หนังสืออภิมหามงคลธรรม, ม.ป.ป.
ภาพ 5.17 ที่มา : หนังสือ79 ปี
สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์, 2544
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น